วิธีขอปรับโครงสร้างหนี้บ้าน ทำยังไง ให้ผ่อนสบายมากขึ้น
- ฺBelmont Residences

- 31 ต.ค.
- ยาว 1 นาที

สำหรับเจ้าของบ้านใหม่ หรือผู้ที่ซื้อบ้านหลังแรกให้ตัวเอง เช่น เลือกซื้อบ้านจากตัวแทนขายบ้านหรูเชียงใหม่เพื่อใช้อยู่อาศัย แน่นอนว่าต้องเป็น “หนี้บ้าน” ซึ่งหมายถึงการเป็นหนี้ระยะยาว แม้ธนาคารจะมีตัวเลือกให้ผ่อนบ้านระยะสั้นแล้ว แต่ก็อาจทำให้หลายคนเกิดความเครียดกับภาระหนี้ก้อนใหญ่ก้อนนี้ได้ ยิ่งถ้ารายได้ลดลงหรือเผชิญเหตุฉุกเฉิน บอกเลยว่าแบกกันหลังหักแน่นอน แต่ก็ใช่ว่าปัญหาจะไม่มีทางออก เพราะบนโลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า “วิธีขอปรับโครงสร้างหนี้บ้าน” อยู่ ซึ่งจะช่วยลดภาระรายเดือน ทำให้ผ่อนได้ง่ายขึ้น ทั้งยังรักษาบ้านเอาไว้ได้
การปรับโครงสร้างหนี้ คืออะไร
การปรับโครงสร้างหนี้ คือ การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระหนี้ เพื่อช่วยให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ต่อไปได้โดยไม่กลายเป็นหนี้เสีย (NPL) และช่วยให้เจ้าหนี้ได้รับเงินคืนในระยะยาว
การปรับโครงสร้างหนี้บ้าน ช่วยอะไรได้บ้าง?
ยืดระยะเวลาชำระหนี้ : ลดค่างวดรายเดือน แต่ดอกเบี้ยโดยรวมอาจสูงขึ้นในระยะยาว
พักชำระเงินต้น (พักหนี้บางงวด) : จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยช่วงหนึ่ง ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายเบาลงในเดือนนั้น แต่ต้องระวังภาระตะกอนหนี้ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเริ่มคืนเงินต้นอีกครั้ง
ลดอัตราดอกเบี้ยหรือปรับโครงสร้างให้เป็นสินเชื่อแบบงวด : การปรับโครงสร้างหนี้บ้านจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยต่อเดือนได้ (หากได้เงื่อนไขดี) เพราะมาตรการภาครัฐหรือแบงก์ชาติบางโครงการเน้นตัดเงินต้น หรือพักดอกเบี้ยบางส่วนเพื่อให้ลูกหนี้มีเวลาฟื้นตัว
รีไฟแนนซ์ (ย้ายไปสถาบันการเงินที่ให้เงื่อนไขดีกว่า) : ถ้ามีเครดิตดีและอัตราดอกเบี้ยตลาดต่ำกว่า อาจคุ้มค่า แต่ต้องคำนวนค่าธรรมเนียมการปิดบัญชีหรือค่าประเมินที่ดินเอาไว้ด้วย
แต่ละแนวทางมีผลต่อ “ประวัติเครดิต” และต้นทุนรวมของหนี้ต่างกัน จึงควรถามเจ้าหน้าที่หรือเช็กเอกสารให้ชัดก่อนตกลง
ใครควรพิจารณาปรับโครงสร้างหนี้บ้าน
ผู้ที่มีรายได้ลดลงชั่วคราว : จึงต้องการปรับโครงสร้างหนี้บ้านหรือหนี้อสังหาริมทรัพย์ เพื่อลดค่างวดในเดือนนั้นลง และประคองสถานะทางการเงินไปจนกว่าจะกลับมาชำระตามปกติ
ผู้ที่มีเหตุฉุกเฉินให้ใช้เงินก้อนใหญ่ : เช่น จ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่ารถ หรือมีเหตุที่ทำให้ต้องใช้เงินก้อน
ผู้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยหรือค่างวดสูงเมื่อเทียบกับรายได้ปัจจุบัน : สามารถรีไฟแนนซ์บ้านหรือขอปรับโครงสร้างหนี้บ้านได้
เสี่ยงกลายเป็นหนี้เสีย (NPL) : หากเสี่ยงว่าจะมีหนี้เสีย ควรรีบเจรจาหาทางออกก่อนถูกดำเนินการยึดหรือบันทึกเครดิตเสีย ซึ่งทางธนาคารกลางมักจะมีมาตรการช่วยเหลือสำหรับผู้ที่ยังไม่เป็น NPL หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มค้างชำระ
วิธีขอปรับโครงสร้างหนี้บ้าน
1. พักชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ย
กรณีจ่ายไหวแค่บางส่วน หรือไม่มีเงินจ่ายหนี้เลย เช่น ตกงาน หรือออกจากงานกะทันกัน อาจขอปรับโครงสร้างหนี้บ้านด้วยการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย หรือหยุดจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยชั่วคราว เช่น 3 เดือน หรือ 6 เดือน แม้เงินต้นจะไม่ลดลง และทำให้ต้องแบกภาระดอกเบี้ยนานขึ้น แต่ก็ช่วยฟื้นฟูสภาพคล่องทางการเงินในช่วงนั้นให้ดีขึ้นได้ เมื่อสถานการณ์ทางการเงินดีขึ้น ลูกหนี้ค่อยนำเงินก้อนมาโปะเพื่อลดหนี้ก่อนถึงกำหนดได้
โดยสถาบันการเงินจะนำประวัติการผ่อนชำระของลูกหนี้ ประเภทสินเชื่อ หลักประกัน และต้นทุนของสถาบันการเงิน มาประกอบการพิจารณาพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยด้วย
2. ขยายเวลาการชำระหนี้
อีกหนึ่งวิธีปรับโครงสร้างหนี้บ้านที่นิยมใช้สำหรับผู้ที่จ่ายหนี้เท่าเดิมไม่ไหว เนื่องจากรายรับลดลง เช่น มีคนในบ้านตกงานหรือป่วย ทำให้หาเงินมาจ่ายหนี้จำนวนเท่าเดิมไม่ไหวอีกต่อไป โดยสามารถขยายเวลาการชำระหนี้ได้ เพื่อให้ยอดผ่อนชำระต่อเดือนลดลง ซึ่งธนาคารหรือสถาบันการเงินอาจจะพิจารณาอายุของผู้กู้ด้วย เพื่อดูว่ามีความสามารถในการชำระต่อแค่ไหน
3. ยกหรือผ่อนปรนดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกแนวทางให้สถาบันการเงิน คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้เฉพาะในส่วนของงวดที่ลูกหนี้ผิดนัดจริงเท่านั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งกับเจ้าหนี้และลูกหนี้ โดยสถาบันการเงินสามารถกำหนด “อัตราดอกเบี้ยปรับ” ได้เอง แต่ต้องไม่สร้างภาระให้ลูกหนี้มากเกินควร จนกลายเป็นหนี้เสีย (NPL)
4. รีไฟแนนซ์ (Refinance)
การรีไฟแนนซ์บ้าน เป็นวิธีการขอปรับโครงสร้างหนี้บ้านที่จะทำการ “เปลี่ยนเจ้าหนี้” โดยปิดหนี้จากเจ้าหนี้รายเดิม แล้วไปขอสินเชื่อบ้านกับเจ้าหนี้รายใหม่ที่ให้อัตราดอกเบี้ยถูกกว่า แต่จะมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มเติมเข้ามาด้วย เช่น ค่าจดจำนองหลักประกัน ค่าทำประกันใหม่ ค่าปรับที่ต้องจ่ายให้เจ้าหนี้เดิม (เนื่องจากปิดหนี้ก่อนกำหนด) เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับลูกหนี้ที่ยังจ่ายไหว แต่อยากลดภาระดอกเบี้ย
ปรับโครงสร้างหนี้บ้านแล้ว แต่ยังไม่พอ ควรทำยังไง?
1. ขายทรัพย์สินบางส่วน
หากทำการปรับโครงสร้างหนี้บ้านแล้ว แต่ภาระค่าใช้จ่ายยังหนักหนาสาหัสอยู่ หากพอมีทรัพย์สินอยู่บ้าน ควรนำทรัพย์สินบางส่วนมาขาย เพื่อให้ได้เงินก้อนมาใช้ชำระหนี้บางส่วน ซึ่งจะทำให้ภาระหนี้ที่ต้องจ่ายเบาลงได้ เช่น ขายบ้าน Pool Villa เชียงใหม่ที่เคยซื้อไว้ เพื่อนำเงินบางส่วนมาใช้หนี้
2. รวมหนี้ (debt consolidation)
หากมีสินเชื่อหลายรายการ เช่น หนี้บัตรเครดิต หรือหนี้ค่ารถ เพิ่มเติมด้วย แนะนำให้รวมหนี้เป็นก้อนเดียว เช่น รีไฟแนนซ์บ้านเอาเงินก้อนโตมาโปะหนี้ก้อนเล็ก ๆ ก้อนอื่น ซึ่งจะช่วยให้ลูกหนี้จัดการหนี้ได้ง่ายขึ้น จ่ายดอกเบี้ยรวมน้อยลง และลดภาระการผ่อนชำระต่อเดือนได้
3. ขอคำปรึกษาจากหน่วยงานที่เชื่อถือ
ถ้าขอปรับโครงสร้างหนี้บ้านแล้ว จ่ายหนี้ลดลงแล้ว แต่สภาพคล่องทางการเงินก็ยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้ขอคำปรึกษาจากหน่วยงานที่เชื่อถือ เพื่อหาทางออกสำหรับด้านการเงิน อาทิ สถาบันการเงินของรัฐ หรือโครงการช่วยเหลือที่ธปท.ประกาศ เช่น โครงการคุณสู้ เราช่วย เป็นต้น
การปรับโครงสร้างหนี้บ้าน จะช่วยบรรเทาภาระหนี้ในระยะสั้น และฟื้นฟูสภาพคล่องทางการเงินได้ชั่วคราว แต่ก่อนที่จะทำการขอปรับโครงสร้างหนี้บ้าน จะต้องประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของตนเองอย่างตรงไปตรงมาด้วย ไม่รับเงื่อนไขที่ทำไม่ได้ และพิจารณาถึงค่าธรรมเนียมแฝงทั้งหมดอย่างรอบคอบ ทำความเข้าใจผลกระทบระยะยาว เพื่อให้สามารถชำระหนี้บ้านได้อย่างต่อเนื่อง โดยยังคงสภาพคล่องทางการเงินเอาไว้ได้
แหล่งอ้างอิง
บทความแนะนำการปรับโครงสร้างหนี้ และการเลือกวิธีที่เหมาะสม ธนาคารแห่งประเทศไทย
แนวทางการแก้หนี้และมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ธนาคารแห่งประเทศไทย
การแก้ไขหนี้สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารแห่งประเทศไทย
แนวทางการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ Government Savings Bank ของธนาคารออมสิน



